ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร

จังหวัดมุกดาหาร เป็นประตูด่านสำคัญสู่กลุ่มประเทศอินโดจีนมีความสัมพันธ์ฉันท์บ้านพี่เมืองน้องกับแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว มาช้านาน โดยมีแม่น้ำโขงซึ่งมีความยาวถึง 70 กิโลเมตร เป็นเส้นกั้นพรมแดน และมีความโดดเด่นในด้านชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ที่มีถึง 8 เผ่าได้แก่ เผ่าไทยอีสาน ภูไท ไทยข่า กระโซ่ ไทยย้อ ไทยแสก ไทยกะเลิง และไทยกุลา

และยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมุกดาหารมีพื้นที่ประมาณ 4,339.830 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ คือ อำเภอเมืองมุกดาหาร อำเภอคำชะอี อำเภอดอนตาลอำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอดงหลวง อำเภอหว้านใหญ่ และอำเภอหนองสูง

ประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่าในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาทางฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงแขวงสะหวันนะเขต มีหมู่บ้านชุมชนใหญ่ชื่อบ้านหลวงโพนสิน ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณพระธาตุอิงฮัง แขวงสะหวันนะเขตในปัจจุบัน โดยมีเจ้าจันทรสุริยวงศ์ปกครอง มีบุตรชายชื่อเจ้ากินรี

ต่อมาได้ข้ามลำน้ำโขงมาฝั่งขวาที่บริเวณปากห้วยมุก และสร้างเมืองขึ้น ณ ที่นั้นในปี พ.ศ. 2310 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2313 และตั้งชื่อเมืองว่า “มุกดาหาร” อันเกิดจากศุภนิมิตรที่พบเห็นในขณะที่กำลังสร้างเมือง ชาวเมืองทั่วไปเรียกมุกดาหารว่า เมืองมุก ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้เจ้ากินรีเป็นพระยาจันทรศรีสุราช อุปราชามัณฑาตุราช ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองคนแรกของเมืองมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ. 2321 เดิมเมืองมุกดาหารมีฐานะเป็นเมืองขึ้นการปกครองกับมณฑลอุดร

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2450 มีการปรับปรุงการปกครองมณฑลอุดรเป็นจังหวัด และเมืองมุกดาหารจึงถูกยุบเป็นอำเภอเมืองมุกดาหาร ขึ้นการปกครองกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดมุกดาหารขึ้นเป็นจังหวัดที่ ๗๓ ของประเทศไทย และเป็นจังหวัดที่ 17ของภาคอีสาน

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร

 หอแก้วมุกดาหารเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก : ตั้งอยู่บนถนนชยางกูร (มุกดาหาร-ดอนตาล) สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสครองราชย์ครบ 50 ปี เป็นหอสูง ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ทรงเก้าเหลี่ยม ชั้น 1 จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตของชาวมุกดาหารชั้น ๒ เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติเมืองมุกดาหาร วัตถุโบราณ ภาพถ่ายเก่า

ตลอดจนเครื่องแต่งกายชาวไทยพื้นเมืองมุกดาหาร 8 เผ่า ชั้น 6 สามารถชมทัศนียภาพรอบตัวเมือง แม่น้ำโขงและฝั่งลาวได้อย่างสวยงาม ชั้นบนสุด  เป็นหอพระประดิษฐานพระพุทธรูปนวมิ่งมงคลมุกดาหารและพระประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน  เปิดทุกวันตั้งแต่ เวลา 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชม 20 บาท

 ศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง : ตั้งอยู่บนถนนสองนางสถิต ในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร ในบริเวณศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง มีหลักเมืองประดิษฐานอยู่ด้วย ศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมืองนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าสร้างในสมัยใด สันนิษฐานว่าคงจะสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองมุกดาหาร แต่เดิมเป็นเพียงศาลไม้ต่อมาได้มีการบูรณะก่อสร้างเป็นศาลคอนกรีต ชาวเมืองมุกดาหารถือว่าศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมืองเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ปกปักรักษาเมืองมุกดาหารให้ร่มเย็นเป็นสุข

ศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง : ตั้งอยู่บนถนนสำราญชายโขง ริมแม่น้ำโขง ติดกับท่าด่านตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดมุกดาหาร เดิมเป็นศาลไม้ ต่อมาได้มีการบูรณะเป็นศาลคอนกรีต ประวัติเล่ากันต่อมาว่ามีธิดาสองพี่น้องของเจ้าเมืองฝั่งลาวได้นั่งเรือข้ามมาจังหวัดมุกดาหารแล้วเกิดเรือล่มเสียชีวิตทั้งสององค์ จึงได้สร้างศาลไว้ที่ต้นตาลเจ็ดยอดเมื่อครั้งที่เจ้ากินรีสร้างเมืองมุกดาหาร

ชาวจังหวัดมุกดาหารถือว่าศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ชาวจังหวัดมุกดาหารจะจัดให้มีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมืองและเจ้าแม่สองนางพี่น้องพร้อมกัน

วัดศรีมงคลใต้ : ตั้งอยู่ถนนสำราญชายโขง ริมแม่น้ำโขง ในตัวเมืองมุกดาหาร ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระเจ้าองค์หลวงพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน  เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง สร้างขึ้นก่อนตั้งเมืองมุกดาหาร มีขนาดหน้าตักกว้าง 2.20 เมตร ส่วนสูงเฉพาะองค์ถึงยอดพระเมาลี 2 เมตร

ตามตำนานเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 2310 ขณะที่เจ้ากินรีคุมบ่าวไพร่ถากถางอยู่ใกล้ต้นตาลเจ็ดยอด เมื่อครั้งสร้างเมืองใหม่ได้พบพระพุทธรูปสององค์ องค์ใหญ่เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน องค์เล็กเป็นพระพุทธรูปเหล็กอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เจ้ากินรีจึงสร้างวัดขึ้นบริเวณนั้น เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสององค์

วันหนึ่งเมื่อพระภิกษุประจำวัดเข้าไปสักการะ ปรากฏว่าไม่พบพระพุทธรูปเหล็ก เมื่อค้นดูรอบ ๆ บริเวณวัด พบว่าพระพุทธรูปเหล็กไปประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตามเดิม และจมลงในดินเหลือแต่ยอดพระเมาลีเป็นที่น่าอัศจรรย์ เจ้ากินรีจึงสร้างแท่นสักการะบูชาไว้ ณ ที่นั้น และถวายนามว่า “พระหลุบเหล็ก” ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ ในโบสถ์ เรียกนามว่า “พระเจ้าองค์หลวง” เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมุกดาหารนับแต่นั้นมา

วัดศรีบุญเรือง (บ้านใต้) : ตั้งอยู่ที่ถนนสำราญชายโขงในตัวเมืองมุกดาหาร ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธสิงห์สอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1 เมตร ส่วนสูงเฉพาะองค์ถึงยอดพระเมาลี 1.20 เมตร ประวัติความเป็นมาของพระพุทธสิงห์สองนั้น

มีหลักฐานว่า ในสมัยที่เมืองมุกดาหารยังเป็นเมืองใหม่ เจ้ากินรีได้เดินทางไปนครเวียงจันทน์ เพื่ออัญเชิญพระพุทธสิงห์สองมาประดิษฐานไว้ที่พระอุโบสถของวัดศรีมงคลใต้ ต่อมาเจ้ากินรีได้สร้างวัดขึ้นใหม่ที่บ้านศรีบุญเรือง จึงได้อัญเชิญย้ายมาประดิษฐานบนแท่นในพระอุโบสถวัดศรีบุญเรือง

ปัจจุบันในงานสงกรานต์ของอำเภอเมืองมุกดาหาร ชาวอำเภอเมืองมุกดาหารได้กระทำพิธีอัญเชิญพระพุทธสิงห์สองจากพระอุโบสถวัดศรีบุญเรืองแห่รอบเมือง แล้วนำไปประดิษฐานบนแท่นที่จัดไว้  เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้สรงน้ำเป็นประจำทุกปี

อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ : เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 59 ของประเทศไทย  มีเนื้อที่ 48.5 ตารางกิโลเมตร หรือ 30,312.5 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองมุกดาหารและอำเภอดอนตาล ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายประกอบด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่หลายลูกติดต่อกันแบบลูกคลื่นและเป็นส่วนปลายสุดของเทือกเขาภูพาน เทือกเขาเหล่านี้วางตัวในลักษณะแนวเหนือ-ใต้ขนานและห่างจากชายฝั่งแม่น้ำโขงประมาณ 4 กิโลเมตร

ภายในอุทยานมุกดาหารประกอบด้วยภูหมากยาง ภูมโน ภูโปร่ง ภูรัง ภูจอมนาง ภูหมากมี่ ภูผาเทิบ ภูนางหงส์ ภูถ้ำพระ ภูหลักเส และยอดเขาสูงสุดคือ ยอดภูจอมศรี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 170-420 เมตร สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าไม้เต็งรัง และป่าเบญจพรรณ และยังเป็นแหล่งกำเนิดของลำห้วยหลายสาย เช่น ห้วยตาเหลือก ห้วยสิงห์ ห้วยเรือ ห้วยมะเล ห้วยช้างชน เป็นต้น แถบบริเวณเชิงเขาเป็นป่าไผ่ขึ้นสลับเป็นแนว หลายบริเวณเป็นหน้าผาสูง และลานหินกว้าง มีหินรูปร่างแปลก ๆ

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจของอุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ ได้แก่ กลุ่มหินเทิบ  การเกิดกลุ่มหินเทิบจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่มาของประติมากรรม ธรรมชาติเหล่านี้ล้วนเกิดจากการกัดเซาะของฝน น้ำ ลมและแสงแดด ผ่านกาลเวลามาถึง 120-95 ล้านปีทำให้กลุ่มหินเหล่านี้มีสภาพแตกต่างกันไปดูคล้ายรูปเครื่องบินไอพ่น จานบิน เก๋งจีน มงกุฎ หัวจระเข้และหอยสังข์ ซึ่งความคงทนของชั้นหินที่แตกต่างกันก็เนื่องจากการประสานของเนื้อทรายแตกต่างกัน

หินทรายชั้นบนที่คงทนมีสีเนื้อหินเป็นสีน้ำตาล มีส่วนประกอบเป็นซิลิกาและเม็ดกรวดมาก หินทรายชั้นต่ำลงมาที่ไม่คงทน มีสีของเนื้อหินเป็นสีขาวจะมีส่วนผสมของคาร์บอเนตมาก สภาพของธรณีวิทยา บริเวณกลุ่มหินเทิบประกอบด้วยหินชั้นของหมวดหินเสาขัวและกลุ่มหินภูพานของกลุ่มหินโคราช มีการลำดับชั้นหินอยู่ในมหายุคมีโซโซอิค ประกอบด้วยหินโคลน หินทราย หินทรายแป้ง และหินกรวดมนหนาประมาณ 200 เมตร

ลานมุจลินท์ :  เป็นลานหินเรียบทอดยาวต่อจากกลุ่มหินเทิบ มีป่าเต็งรังแคระล้อมรอบ มีพันธุ์ไม้พุ่มจำพวกข่อยหิน นางฟ้าจำแลง อ้นเหลืองและกระโดนดานเป็นส่วนประกอบ จุดเด่นคือกลุ่มดอกหญ้าของสังคมพืชขนาดเล็ก เช่น สร้อยสุวรรณา หยาดน้ำค้าง หนาวเดือนห้า ดาวรวมดวงและดุสิตา ซึ่งจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ของทุกปี

ณ กลางลานแห่งนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพแม่น้ำโขงได้ด้วย น้ำตกวังเดือนห้า เป็นน้ำตกขนาดเล็กเกิดจากสายธารที่ไหลผ่านลานหินมุจลินท์ มีบ่อน้ำซับไหลหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์และสัตว์ป่า ภายในน้ำตกประกอบไปด้วยแอ่งหิน  หุบหิน โขดหิน

ผาอูฐ : หน้าผาแห่งนี้มีประติมากรรมหินรูปร่างคล้ายอูฐทะเลทรายและเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นภูถ้ำพระ ผาผักหวานและผาขี้หมูได้อย่างชัดเจน เบื้องล่างของผาอูฐคือหุบเขากว้างไกลและมีป่าไม้เขียวขจีปกคลุม ภูถ้ำพระ ตามตำนานแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ สมัยโบราณเคยมีหมู่บ้านขอมอาศัยอยู่มาก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานหนีภัยธรรมชาติ จึงนำพระพุทธรูปที่ตนบูชาสักการะไปเก็บไว้ที่ถ้ำแห่งนี้ประกอบไปด้วย พระเงิน พระนาก พระทองคำ พระหยก พระว่านและพระไม้เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันพระพุทธรูปสูญหายคงเหลือเฉพาะพระแกะสลักด้วยไม้เท่านั้น ณ ตรงนี้ยังมีน้ำตกที่สวยงามคือ “น้ำตกภูถ้ำพระ” อีกด้วย

ผามะนาว : เป็นหน้าผาเรียบสูงชันมีน้ำตกไหลจากบนหน้าผาลงสู่เบื้องล่างหล่อเลี้ยงทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าให้อุดมสมบูรณ์ ด้านบนมองเห็นทิวทัศน์ของกลุ่มหินเทิบและแม่น้ำโขงได้กว้างไกล ด้านล่างของหน้าผาจะพบความสวยงามของน้ำตก ป่าไม้และสัตว์ป่า สำหรับที่มาของชื่อผามะนาว เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้มีต้นมะนาวป่าขึ้นเป็นจำนวนมาก ถ้ำฝ่ามือแดง ภายในถ้ำมีภาพเขียนสีนักโบราณคดีอายุไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี และเป็นของมนุษย์สมัยโบราณ

ฤดูกาลท่องเที่ยวของอุทยานฯ คือ ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ และฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม สอบถามรายละเอียดได้ที่อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร โทร.0 4260 1753 และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร.0 2562 0760  การเดินทาง  อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางมุกดาหาร-ดอนตาล  ทางหลวงหมายเลข 2034 แล้วเลี้ยวขวาอีกประมาณ 2 กิโลเมตร

หอยกลายเป็นหิน : พบที่โคกหินแดง บ้านนายอ ตำบลเหล่าหมี มีลักษณะคล้ายหอยสังข์ฝังอยู่ในดินลึกประมาณ 40 ฟุต  เป็นชั้นหินปูนหนาประมาณ 1 ฟุต จากการวิจัยของกรมทรัพยากรธรณีโดยนำหอยไปวัดความหนาแน่นแล้วทำให้ทราบว่าเปลือกโลกบริเวณนี้มีอายุประมาณ 27 ล้านปี ซึ่งขุดพบเป็นแห่งที่ 3 ของโลก  เหมาะสำหรับผู้สนใจทางด้านธรณีวิทยา การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 2034 เลี้ยวซ้ายตรงหลักกิโลเมตรที่ 17–18 ปากทางเข้าบ้านนาโพธิ์

อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว : เป็นอุทยานที่มีพื้นที่อยู่บนแนวรอยต่อ 3 จังหวัด คือ อำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร อำเภอชานุมาน และอำเภอเสนานิคม จังหวัดอำนาจเจริญ มีพื้นที่ประมาณ ๓๒๑ ตารางกิโลเมตร ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2535 เป็นลำดับที่ 75 ของประเทศ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีสภาพป่าธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก มีความงามทางธรรมชาติให้สัมผัสหลายแบบ เช่น เดินชมทิวทัศน์บนยอดภูเขา ความมหัศจรรย์ของโขดหิน ชมไม้ดอกบนทุ่งหญ้าช่วงปลายฤดูฝนและชมดอกบัวธรรมชาติบนยอดเขาที่ชาวท้องถิ่นเรียกว่า“ภูเขาแห่งดอกบัว”

สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ทอดตัวเป็นแนวยาวจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลงสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีความสูงโดยเฉลี่ย 350-450 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดสูงที่สุดคือ ภูกระแซะ สูงประมาณ 491 เมตร เทือกเขาเหล่านี้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย เช่น ห้วยทม ห้วยก้านเหลือง ซึ่งไหลลงสู่พื้นราบโดยรอบอุทยานฯ มีป่าอันอุดมสมบูรณ์

พื้นที่หลายแห่งมีลานหินขนาดใหญ่ ซึ่งชาวท้องถิ่นเรียกว่า “ดาน” กระจายอยู่ตามป่า ส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งกระจายอยู่ตามเทือกเขาต่างๆ พื้นที่ป่าเหล่านี้มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่หลายชนิด โดยเฉพาะที่เทือกเขาภูสระดอกบัวซึ่งเป็นพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำ สามารถพบสัตว์ป่าได้หลายชนิด เช่น เก้ง หมูป่า กระต่ายป่า ลิง บ่าง เม่น กระจง และสัตว์ปีกประเภทต่าง ๆ ได้แก่ ไก่ฟ้า ไก่ป่า เป็นต้น

บริเวณอุทยานฯ ประกอบด้วยทิวทัศน์ที่สวยงาม ความวิจิตรพิสดารของหินผามีความเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ตลอดจนร่องรอยของการต่อสู้อันเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้มีศักยภาพทางการท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ภูสระดอกบัว ได้แก่ ภูผาแต้ม   เป็นหน้าผาประกอบด้วยรูปรอยฝ่ามือและภาพเขียนสีโบราณก่อนประวัติศาสตร์

สันนิษฐานว่าเป็นยุคเดียวกับภาพเขียนสีในถ้ำฝ่ามือแดงของอุทยานแห่งชาติภูผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี หน้าผามีลักษณะคล้ายถ้ำเพราะหินไหลเลื่อนลงมามีความยาวประมาณ 60 เมตร ภาพเหล่านี้อยู่สูงจากพื้นถ้ำประมาณ 3-5 เมตร เป็นภาพมือและภาพสัญลักษณ์รวม 98 ภาพ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างอย่างน่าสนใจ  ใช้เวลาเดินเที่ยวชมประมาณ 2 ชั่วโมง

ผามะเกลือ : เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจและชมวิว อยู่ใกล้บริเวณผาแต้ม มีลักษณะเป็นลานหินใต้เพิงผาร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ลานดอกไม้บนภูวัด  เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่มีดอกไม้ เช่น ดอกเอนอ้า ดอกกระดุมเงิน และดอกดุสิตาบนลานหินบริเวณกว้าง อดีตชาวท้องถิ่นใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา ดอกไม้จะออกดอกในช่วงปลายฤดูฝน ภูผาหอม  เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากของเทือกเขาภูผาแต้ม ระหว่างทางเดินจะผ่านป่าไผ่ ลานหิน  และป่าเต็งรังที่สวยงาม จากจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ในระยะไกลออกไปทางทิศตะวันตก มีความสูงประมาณ 366 เมตร ด้านหลังจะมองเห็นภูหมู ภูแผงม้า ภูไม้ซาง ภูซอง ภูอัครชาด ในยามเย็นตรงจุดนี้มีนักท่องเที่ยวนิยมมาชมพระอาทิตย์ตก

ภูสระดอกบัว : เป็นภูเขาที่มีความสูงประมาณ 423 เมตร บนรอยต่อเขต 3 จังหวัด ที่ยอดภูสระดอกบัวมีแอ่งหินขนาดกว้างประมาณ 2-3  เมตร จำนวน 11 แอ่ง มีน้ำขังตลอดปี มีบัวพันธุ์ต่าง ๆ ขนาดเล็ก ขึ้นอยู่เต็มสระเมื่อออกดอกจะดูสวยงามมาก ชาวบ้านเล่ากันว่ามีบัวขึ้นอยู่อย่างนี้มานานแล้ว และเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงได้ชื่อว่า “ภูสระดอกบัว”

ภูผาแตก : หรือชื่อทางยุทธศาสตร์ว่า “เนิน 428” ที่นี่มีจุดชมวิวมีองค์ประกอบทางธรรมชาติสวยงาม ทางด้านทิศเหนือสามารถมองเห็นทิวเขาของอุทยานแห่งชาติมุกดาหารในระยะไกลได้ ลานหินและป่าเต็งรังแคระ เป็นลานหินกว้างใหญ่ บางแห่งมีขนาด 20-40  ไร่ สลับกับป่าเต็งรังแคระ บางแห่งเป็นป่าเต็งรังสลับกับป่าหญ้าเพ็ก พบได้ทั่วไป เช่น ภูผาหอม หลังภูผาด่าง ภูสระดอกบัว ภูบก ภูหัวนาค เป็นต้น

การเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 2277 (อำเภอเลิงนกทา-อำเภอดอนตาล) อยู่ระหว่างกิโลเมตรที่ 22-24   ห่างจากอำเภอเลิงนกทาประมาณ 28 กิโลเมตร และห่างจากอำเภอดอนตาลประมาณ 22 กิโลเมตร  สอบถามรายละเอียดได้ที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว โทร. 0 4261  9077 หรือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร.0 2562 0760

อุทยานสมเด็จย่า (ฐานวรพัฒน์) : ตั้งอยู่บ้านนาม่วง เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2520 เดิมใช้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหารจนถึงปี พ.ศ. 2526 ในช่วงที่มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมือง ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้เป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ด้านแหล่งท่องเที่ยว และสถานฝึกอาชีพให้แก่ราษฎรในพื้นที่

ภายในฐานปฏิบัติการประกอบด้วยพลับพลาที่ประทับสมเด็จย่า อาคารประดิษฐานพระรูปสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บังเกอร์ทหาร อาคารประวัติศาสตร์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พร้อมด้วยสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เคยเสด็จมาประทับแรมเพื่อทรงเยี่ยมเยียนข้าราชการ ทหาร และประชาชนในพื้นที่ การเดินทางใช้เส้นทางมุกดาหาร-ดอนตาล เลี้ยวซ้ายบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 6-7

วนอุทยานภูหมู : เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามยิ่งอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดมุกดาหารมีความสูง 353 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มีพื้นที่ราบบนยอดเขาประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,500 ไร่ บนยอดเขามีจุดชมวิวซึ่งเป็นหน้าผา 3 จุด  จุดชมวิวที่ 1 อยู่ด้านตะวันออกของที่ทำการ สามารถมองเห็นภูถ้ำเม่น ภูไม้ซาง ภูแผงม้า และอ่างเก็บน้ำห้วยขี้เหล็กได้อย่างชัดเจน จุดชมวิวที่ 2 อยู่ด้านทิศตะวันตก สามารถมองเห็นถนนทางขึ้นภูหมู ภูน้อย ภูติ้ว ภูโล้น ภูกะล่อน วัดภูด่านแต้ และเทือกเขาภูพานสลับซับซ้อน

จุดชมวิวที่ 3 อยู่บริเวณยอดเขาด้านทิศใต้ สามารถมองเห็นภูถ้ำพระและอำเภอเลิงนกทา ในบริเวณนี้ยังมีร่มไม้ใหญ่และลานหินซึ่งเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข ๒๑๒ (มุกดาหาร-เลิงนกทา) ประมาณกิโลเมตรที่ 128-129 เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางขึ้นเนินแต่ค่อนข้างแคบ ทำให้รถใหญ่เข้าไปไม่สะดวก การพักค้างแรมในบ้านพักหรือเต็นท์  สอบถามรายละเอียดได้ที่อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว โทร. 0 4261 9076 หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร. 0 2562 0760

น้ำตกตาดโตน : อยู่ที่บ้านโนนยาง   เป็นน้ำตกสูง 7 เมตร  กว้าง 30 เมตร น้ำไหลเกือบตลอดปี มีแอ่งน้ำสำหรับเล่นน้ำได้ ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด  การเดินทาง  ห่างจากที่ว่าการอำเภอหนองสูงประมาณ 3 กิโลเมตร ไปทางอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามทางหลวงหมายเลข 2042  ระหว่างกิโลเมตรที่ 67 – 68 และเลี้ยวขวาไปประมาณ 400 เมตร

วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหลวงปู่จาม) : ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร  เป็นวัดที่หลวงปู่จามได้จำพรรษา หลวงปู่จาม มหาปุญโญ  ท่านได้สร้างเจดีย์บู่ทองกิตติ  ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั่วไป สามารถไปกราบนมัสการ เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุพระสาวก ในเจดีย์บู่ทองกิตติ และคุณงามความดีของท่านเป็นที่น่านับถือ เป็นตัวอย่างที่ควรจารึกไว้ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้เลื่อมใสศรัทธา ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่จาม

หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บ้านภูโฮมสเตย์ : สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และบรรยากาศประเพณีวัฒนธรรมภูไทบ้านภู ที่ได้รับการยกย่องเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงระดับจังหวัด ที่ประยุกต์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติของหน่วยงาน องค์กรโดยทั่วไป หมู่บ้านได้จัดกิจกรรมเพื่อการศึกษาเรียนรู้ออกเป็นฐานการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้เข้าใจ มีความรู้ และเห็นรูปธรรมของปรัชญาเศรษฐกิจพอพียง มีบริการโฮมสเตย์และกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และพิธีงานปั่นฝ้าย สายบุญ จุลกฐินในช่วงเทศกาลทอดกฐิน

แก่งกะเบา : เป็นแก่งหินยาวเหยียดตามลำน้ำโขง บนฝั่งมีลานหินกว้างใหญ่เป็นที่พักผ่อนได้อย่างดี ฤดูแล้งน้ำจะลดจนเห็นเกาะแก่งกลางน้ำ และหาดทรายสวยกว่าฤดูอื่น ๆ การเดินทางใช้เส้นทางมุกดาหาร-ธาตุพนม (ทางหลวงหมายเลข 212) ประมาณ 20 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปอำเภอหว้านใหญ่ 9  กิโลเมตร จะพบทางแยกไปแก่งกะเบา ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอ 8 กิโลเมตร

วัดมโนภิรมย์ : ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตตำบลชะโนด เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นโดยช่างจากนครเวียง-จันทน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 เกิดไฟไหม้วัดเสียหายอย่างมก ต่อมาได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2454 เป็นวัดมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ เช่น วิหารสร้างแบบสถาปัตยกรรมล้านช้าง ซุ้มประตูลายปูนปั้น หน้าบันเป็นไม้แกะสลักลายนูนต่ำ ภายในประดิษฐานพระพุทธเจ้าแปดองค์แกะสลักจากงาช้างสีดำ และพระองค์แสนซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง

วัดบ้านสองคอน (วัดศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิก)  : เป็นโบสถ์คริสต์ที่มีบริเวณกว้างขวางมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง สร้างแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีความสวยงามและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2539 สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเทิดพระเกียรติบุญราศรีมรณสักขีทั้ง 7 ท่าน ที่ได้พลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อครั้งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คณะกรรมการบุญราศรีจะจัดงานเฉลิมฉลองบุญราศรีขึ้น 2  ครั้ง คือ ในวันที่ 22 ตุลาคม และวันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี