เอกลักษณ์ความโดดเด่นของผ้า ผ้าไหมแพรวาเป็นผ้าที่มีความงดงามและความประณีตในการทอ มีลักษณะเด่นด้านลวดลายของผ้าที่มีกรรมวิธีการสร้างลวดลายด้วยการทอขิดและการทอด้วยการจกเส้นไหมหลากหลายสีเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดสีสันและลวดลายรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งลวดลายที่ปรากฏบนผืนผ้าก็มีความเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกับพื้นของผืนผ้า การทอผ้าแพรวาจึงเป็นภูมิปัญญาชั้นสูงจนได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชินีแห่งไหม”
โดยเฉพาะผ้าไหมแพรวาของชุมชนบ้านโพนนับเป็นผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มและโดดเด่นจนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ จ. กาฬสินธุ์ ในปัจจุบันผ้าแพรวาของชาวผู้ไทยถักทอขึ้นเพื่อใช้เป็นผ้าสไบหรือผ้าคลุมไหล่ทับชุดพื้นเมือง คำว่า “แพร” หรือ “ผ้าแพร” เป็นชื่อเรียกผ้าที่มีลักษณะเป็นผืนของชาวไทอีสานหรือไทลาวทั่วไป ส่วนคำว่า “วา” มีความหมายถึงขนาดความยาวของผ้าที่มีความยาว1 วา หรือประมาณ 2 เมตร ทั้งนี้เพราะผ้าแพรวาเดิมเป็นผ้าทอที่ชาวผู้ไทยใช้สำหรับการเบี่ยงสไบทับผ้าเสื้อสีพื้น จึงนิยมทอให้มีความยาวประมาณ 1 วา ของผู้ใช้
ที่ตั้งและการติดต่อ
แหล่งผลิต : กลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน (ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย)
ที่ตั้ง : 173 ม. 5 ต. โพน อ. คำม่วง จ. กาฬสินธุ์
โทรศัพท์ : 08 3338 3956 (คุณหนูวรรณ), 08 6237 3699 (คุณสมศรี), 08 4790 8424 (คุณนงลักษณ์)
ลักษณะและลวดลายการทอหรือการผลิต
ขั้นตอนการผลิต
- การเตรียมเส้นไหม จะต้องนำเส้นมาคัดเส้นไหมที่มีขนาดเส้นสม่ำเสมอและมีการตกแต่งไจไหมที่เรียบร้อย คือ เส้นไหมจัดเรียงแบบสานกันเป็นตาข่ายหรือเรียกชื่อทางวิชาการว่าไดมอนด์ครอส มีการทำไพประมาณ 4-6 ตำแหน่ง ขนาดน้ำหนักไหมต่อไจโดยประมาณ 80-100 กรัม ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานในขั้นตอนการลอกกาว ย้อมสี และการกรอเส้นไหม
- การลอกกาวเส้นไหมทั้งเส้นพุ่ง เส้นยืน โดยการใช้สารธรรมชาติ การเตรียมสารลอกกาวธรรมชาติ นำกาบต้นกล้วยมาทำการเผาไฟจนกระทั่งเป็นขี้เถ้า นำขี้เถ้าไปแช่น้ำใช้ไม้คนให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ให้ขี้เถ้าตกตะกอนแบ่งชั้นน้ำและตะกอน ทำการกรองน้ำใสที่อยู่ส่วนบนชั้นตะกอนด้วยผ้าบาง สารที่ได้ คือสารลอกกาวธรรมชาติ นำเส้นไหมที่ได้เตรียมไว้แล้วมาทำการต้มลอกกาวด้วยสารลอกกาวธรรมชาติดังกล่าวโดยใช้ในสัดส่วนของสารลอกกาวต่อเส้นไหมโดยประมาณ 30:1 ในระหว่างการต้มลอกกาวจะมีการควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับ 90-95 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 90 นาที ในระหว่างการต้มลอกกาว ให้ทำการกลับเส้นไหมในหม้อต้มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กระบวนการลอกกาวเส้นไหมสมบูรณ์ นำเส้นไหมที่ทำการลอกกาวเสร็จเรียบร้อยออกจากหม้อต้ม นำไปล้างน้ำร้อนน้ำอุ่น แล้วบีบน้ำออกจากเส้นไหม นำเส้นไหมไปตากผึ่งแห้งที่ราวตาก ทั้งนี้ให้ทำการกระตุกเส้นไหมเพื่อให้มีการเรียงเส้นไหมในแต่ละไจ อย่างเรียบร้อย นั่นคือการลอกกาวเส้นไหม เราก็จะได้เส้นไหมที่พร้อมจะย้อมสี เพื่อนำไปทอผ้าต่อไป
- การเตรียมฟืมทอผ้า ทำการค้นเส้นด้ายลักษณะเดียวกับการค้นเส้นยืน จากนั้นนำเส้นด้ายมาร้อยเข้ากับฟืม โดยการร้อยผ่านช่องฟันหวีแต่ละช่องทุกช่อง ๆ ละ 2 เส้น แล้วใช้ท่อนไม้ไผ่เล็ก ๆ สอดเข้าในห่วงเส้นด้ายที่ร้อยเข้าช่องฟันหวีเพื่อทำการขึงเส้นด้ายให้ตึงและจัดเรียงเส้นด้ายให้เรียบร้อย ส่วนด้านหน้าของฟืมก็จะมีท่อนไม้ไผ่เช่นเดียวกับด้านหลังเพื่อทำการขึงเส้นด้ายให้ตึงเช่นเดียวกับด้านหลังของฟืมที่กล่าวมาแล้ว จากนั้นให้ทำการเก็บตะกอฟืมแบบ 2 ตะกอ เราก็จะได้ชุดฟืมทอผ้าที่พร้อมสำหรับการทอผ้า
- การย้อมเส้นไหมยืน เตรียมน้ำย้อมสีเส้นไหม โดยทั่วไปผ้าแพรวาในสมัยโบราณเส้นยืนจะใช้สีแดง ที่มาจากครั่ง นำครั่งมาตำให้ละเอียด จากนั้นนำไปแช่น้ำนานประมาณ 1 คืน ทำการกรองน้ำย้อมสีด้วยผ้าบาง ปริมาณครั่งที่ใช้ในการเตรียมน้ำย้อมประมาณ 5 กิโลกรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ต่อเส้นไหม 1 กิโลกรัม นำเส้นไหมที่เตรียมไว้มาทำการย้อม โดยเริ่มจากการการย้อมเย็นเพื่อให้น้ำย้อมสีสามารถซึมเข้าไปในเส้นไหมได้อย่างทั่วถึง และสม่ำเสมอ ป้องกันการเกิดสีด่างบนเส้นไหม เมื่อน้ำย้อมได้ซึมเข้าเส้นไหมจนทั่วแล้ว ก็ให้ยกหม้อต้มย้อมขึ้นตั้งบนเตาเพื่อเพิ่มความร้อนจนกระทั่งอุณหภูมิอยู่ที่ระดับ 90 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือสังเกตได้จากการที่น้ำย้อมจะใส จากนั้น ให้นำเส้นไหมที่ย้อมสีเรียบร้อยแล้วไปล้างน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง แล้วทำการบีบน้ำให้แห้ง ทำการตากผึ่งให้แห้ง
- การเตรียมเส้นยืน นำเส้นไหมยืนที่ทำการย้อมสีด้วยสีแดงเข้มของครั่ง มาทำการค้นเครือหูก หรือที่เรียกว่าการค้นเส้นยืน โดยใช้หลักเฝือเป็นอุปกรณ์ในการค้นเส้นยืน การเตรียมค้นเส้นยืนจะเริ่มต้นโดยการนำเส้นไหมไปสวมเข้าในกง เพื่อทำการกรอเส้นไหมเข้าอัก จากนั้นก็ทำการค้นเส้นยืน โดยมีหลักการนับ คือ รอบละ 2 เส้น 2 รอบ เป็น 4 เส้น เรียกว่า 1 ความ 10 ความ เท่ากับ 1 หลบ การนับจำนวนความจะใช้ซี่ไม้มาคั่นเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้น 1 หลบจะมีเส้นไหม 40 เส้น หลบ คือ หน้ากว้าง ในสมัยโบราณนิยมทอผ้าสไบหน้ากว้างจะใช้ 8 หลบ ต่อมามีการขยายหน้ากว้างเพิ่ม เช่น 22 หลบ 34 หลบ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบตั้งแต่เริ่มแรก
- การต่อเส้นยืน การต่อเส้นยืนคือการนำเส้นไหมเส้นยืนมาผูกต่อกับเส้นด้ายในซี่ฟันหวีโดยทำการต่อที่ละเส้นจนหมดจำนวนเส้นยืน เช่น หากหน้ากว้างของผ้าเท่ากับ 22 หลบ ก็จะต้องทำการต่อเส้นยืนเท่ากับ 1,760 เส้น เป็นต้น เมื่อต่อเส้นไหมเข้ากับเส้นไหมที่อยู่ในซี่ฟันหวี่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการม้วนเส้นยืนด้วยแผ่นไม้ พร้อมทั้งการจัดเรียงระเบียบของเส้นไหมตามช่องฟันฟืมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็นำไปติดตั้งเข้ากับหูกทอผ้าหรือกี่ทอผ้า เพื่อการเก็บเขาลายหรือตะกอต่อไป ก่อนทำการทอผ้าจะต้องใช้แปรงจุ่มน้ำแป้งทาเคลือบเส้นยืนที่อยู่ในกี่ก่อน เพื่อทำให้เส้นกลม มีความแข็งแรง เส้นไหมไม่แตกเป็นขนเนื่องจากกระทบกับช่องฟันฟืมเวลาทอผ้า
- การเตรียมเส้นพุ่งที่จะทำการย้อมสีต่าง ๆ การเตรียมน้ำย้อมสีเส้นไหม โดยทั่วไปผ้าแพรวาโบราณจะมีจำนวนสีหลากหลายสีในแต่ละลายหลัก ซึ่งสีที่นิยมใช้กันมากก็จะเป็นสีเข้ม เช่น สีเหลือง สีน้ำเงินเข้ม สีเขียว สีแดง เป็นต้น ซึ่งแต่ละสีก็จะได้มาจากชิ้นส่วนของพืชและสัตว์ ดังนี้
(1) สีเหลือง เป็นสีที่ได้มาจากแก่นเข วิธีการเตรียม คือ นำแก่นเขมาทำให้เป็นชิ้นเล็กๆก่อนทำการต้มกับน้ำ การต้มให้ต้มเดือดนานประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง จากนั้นก็ให้ทำการกรองด้วยผ้าบางเพื่อแยกส่วนของน้ำย้อมสีกับกากเหลือของแก่นเขออกจากกัน นำเส้นไหมเส้นพุ่งที่ต้องการย้อมสีเหลืองมาทำการย้อม โดยเริ่มต้นการย้อมโดยวิธีย้อมเย็นเพื่อให้การซึมเข้าของสีสม่ำเสมอ จากนั้นจึงใช้ความร้อนในการเพิ่มอุณหภูมิประมาณ 90-95 องศาเซลเซียส ย้อมนานประมาณ 30 นาที จากนั้นนำเส้นไหมที่ย้อมเสร็จแล้วมาทำการล้างด้วยน้ำ 2-3 ครั้ง เพื่อล้างสีส่วนเกินออกให้หมด ซึ่งจะทำให้ผ้าไหมไม่ตกสี นำเส้นไหมที่ล้างน้ำแล้วบีบน้ำออกแล้วนำไปผึ่งตากให้แห้ง
(2) สีน้ำเงิน เป็นสีที่ได้มาจากเนื้อคราม วิธีการเตรียม คือจะต้องมีการก่อหม้อครามก่อนเพื่อที่นำน้ำย้อมสีครามนั้นมาใช้ในการเตรียมน้ำย้อมสีคราม เมื่อได้น้ำย้อมสีน้ำเงินแล้ว นำเส้นพุ่งที่ต้องการย้อมสีน้ำเงินมาทำการย้อม โดยกรรมวิธีการย้อมสีครามจะเป็นการย้อมเย็น โดยการนำเส้นไหมลงย้อมในน้ำย้อม แล้วใช้มือบีบนวดเส้นไหมเพื่อให้สีสามารถซึมเข้าได้ทั่วถึง การย้อมครามอาจจะต้องทำการย้อมซ้ำ 2-3 ครั้งขึ้นอยู่การการติดสีของครามและระดับความเข้มของสีที่ต้องการ
(3) สีแดง เป็นสีที่ได้จากครั่ง วิธีการเตรียมน้ำย้อมสีแดงที่มาจากครั่ง นำครั่งมาตำให้ละเอียด จากนั้นนำไปแช่น้ำนานประมาณ 1 คืน ทำการกรองน้ำย้อมสีด้วยผ้าบาง ปริมาณครั่งที่ใช้ในการเตรียมน้ำย้อมประมาณ 5 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตรต่อเส้นไหม 1 กิโลกรัม นำเส้นไหมที่เตรียมไว้มาทำการย้อม โดยเริ่มจากการการย้อมเย็น เพื่อให้น้ำย้อมสีสามารถซึมเข้าไปในเส้นไหมได้อย่างทั่วถึง และสม่ำเสมอ ป้องกันการเกิดสีด่างบนเส้นไหม เมื่อน้ำย้อมได้ซึมเข้าเส้นไหมจนทั่วแล้ว ก็ให้ยกหม้อต้มย้อมขึ้นตั้งบนเตาเพื่อเพิ่มความร้อนจนกระทั่งอุณหภูมิอยู่ที่ระดับ 90-95 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือสังเกตได้จากการที่น้ำย้อมจะใส จากนั้น ให้นำเส้นไหมที่ย้อมสีเรียบร้อยแล้วไปล้างน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง แล้วทำการบีบน้ำให้แห้ง ทำการตามผึ่งให้แห้ง
(4) สีเขียว เป็นสีที่ได้จากการใช้สี 2 สี คือ สีเหลืองจากแก่นเข และสีน้ำเงินจากคราม นำเส้นพุ่งที่ต้องการจะย้อมสีเขียวมาทำการย้อมสีเหลืองก่อน และล้างสีส่วนเกินออกให้หมดก็จะได้เส้นไหมที่ย้อมสีเหลือง ให้นำเส้นไหมสีเหลืองที่เตรียมไว้ไปย้อมทับด้วยสีน้ำเงินก็จะทำให้เส้นที่ย้อมเป็นสีเขียว นำเส้นไหมที่ย้อมสีเสร็จเรียบร้อยแล้วมาทำการล้างสีส่วนเกินออกให้หมด โดยล้างน้ำ 2-3 ครั้ง จากนั้นบีบน้ำออก ทำการผึ่งตากแห้ง ซึ่งทุกครั้งจะต้องทำการกระตุกเส้นไหมให้เรียงกันเรียบร้อย
- การกรอเส้นพุ่งเข้าหลอด การกรอเส้นพุ่งเข้าหลอด นำเส้นไหมที่ย้อมสีต่าง ๆ แล้วมาเข้ากง แล้วทำการกรอเส้นไหมเข้าหลอด เพื่อเตรียมเป็นเส้นพุ่งเพื่อใช้ในการเกาะลาย และใส่กระสวยในการทอขัด
- การเก็บเขาลาย / การเก็บตะกอลายขัด การทำลายบนผืนผ้าแพรวา ใช้ไม้เก็บขิดมีลักษณะแบนกว้างประมาณ 7-8 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ปลายแหลมในการเก็บขิดลายผ้าแพรวาโบราณในแต่ละผืนจะมีจำนวนลายหลักแต่ละผืนไม่เท่ากัน ประด้วยไม้ลายหรือตะกอกว่า 1,000 เขา /ตะกอ ซึ่งการทำลายบนผืนผ้าแพรวาโบราณจะทำโดยใช้ไม้เก็บขิดลายเก็บลายก่อน แล้วใช้ไม้ยกลายหรือไม้เผ่าสอดเข้าจนหมดหน้าฟืม โดยให้ยกไม้ยกลายที่สอดเข้าไปให้อยู่ในแนวตั้ง จากนั้นใช้นิ้วก้อยในการล้วงเกาะเส้นไหมสีต่าง ๆ ตามลายที่กำหนด ไปจนสุดขอบผ้า แล้วจึงเหยียบไม้เหยียบตะกอฟืมเพื่อสอดกระสวย แล้วใช้ฟืมกระทบเส้นไหมเพื่อให้ผืนผ้าแน่น ไม้หนึ่งเกาะ 2 เที่ยว เพื่อให้ลายนูนเด่น ในการทอผ้าแพรวาจะต้องมีการเก็บลายไปตลอดการทอ การทอผ้าแพรวาลวดลายผ้าจะอยู่ด้านล่างของกี่ทอผ้า ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการทอผ้ามัดหมี่หรือผ้าอื่น ๆ และด้านล่างของผืนผ้าแพรวา จะมีท่อนไม้เล็ก ๆ แบน ๆดันยึดริมผ้าทั้ง 2 ด้านให้ตรงและตึงตลอดเวลาเรียกว่าไม้คันผัง โดยมีหน้าที่ยึดผ้าที่ทอให้ขอบผืนผ้าตรงและตึงตลอดเวลา ทำให้ลวดลายบนผ้าสวยงามผ้าแพรวาชนิดนี้ เรียกว่า แพรวาเกาะ ซึ่งเป็นแพรวาที่มีความสวยงามมาก ค่อนข้างทำยากและใช้เวลาในการทอค่อนข้างนาน ส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตสูงตามไปด้วย
- การทอผ้าแพรวาแบบประยุกต์ ปัจจุบันการทอผ้าแพรวาได้มีการประยุกต์เพื่อให้เหมาะกับสภาพการของเศรษฐกิจและความต้องการของตลาด เช่น ผ้าแพรวาชนิดแพรวาล่วง คือ ใช้กระสวยพุ่งตามลายที่ได้เก็บขิดลายไว้ ส่วนใหญ่แพรวาชนิดนี้จะมีสี 2 สี คือ สีพื้น สีลวดลายบนผืนผ้าหรือหากจะมีการเพิ่มสีสันก็จะมีการเติมลายเล็ก ๆ หรือลายที่เป็นลายเกสรเล็ก ๆ เพื่อเพิ่มสีสันให้มีความสวยงาม ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ทำได้ง่าย สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ด้วยซึ่งผ้าแพรวาชนิดนี้เรียกว่า แพรวาจก
ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหรือโดดเด่น
แพรวา เป็นผ้าทอมือของชาวผู้ไทยใน จ. กาฬสินธุ์ มีลักษณะเช่นเดียวกับผ้าสไบ แต่มีสีสัน ลวดลาย ที่หลากหลายมากมาย และนิยมทอด้วยไหมทั้งผืน การทอผ้าแพรวามีมาพร้อมกับวัฒนธรรมของชาวผู้ไทย ซึ่งเป็นชนกลุ่มหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในบริเวณแคว้นสิบสองจุไทย (ดินแดนส่วนเหนือของลาวและเวียดนาม ซึ่งติดต่อกับดินแดนภาคใต้ของจีน) อพยพเคลื่อนย้ายผ่านเวียดนาม ลาว แล้วข้ามฝั่งแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่แถบเทือกเขาภูพานทางภาคอีสานของไทย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน จ. กาฬสินธุ์ จ. นครพนม จ. มุกดาหาร จ. สกลนคร โดยยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ การแต่งกาย และการทอผ้าไหมที่มีภูมิปัญญาในการทอด้วยการเก็บลายจากการเก็บขิดและการจก ที่มีลวดลายโดดเด่น เป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก บรรพบุรุษและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเลือกใช้เส้นไหมน้อยหรือไหมยอดที่มีความเลื่อมมัน ผ้าไหมแพรวาถือว่าเป็นของล้ำค่า ผ้าแพรวาจึงเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มชนที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มผู้ไทยและมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวผู้ไทย จ. กาฬสินธุ์ อย่างแท้จริง
กลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน
สำหรับศูนย์วัฒนธรรมภูไท เป็นโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงรับไว้ในโครงการส่งเสริมการทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี พ.ศ. 2521 โดยใช้ชื่อว่า กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร มีสมาชิก 70 คน ต่อมาปี 2538 ได้จัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน มีสมาชิก 450 คน และในปี 2551 ได้ขอจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ศูนย์ศิลปาชีพทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพนกาฬสินธุ์ จำกัด ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 825 คน ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ อ. คำม่วง อ. สมเด็จ อ. สามชัย และ อ. สหัสขันธ์ เป็นสหกรณ์ศูนย์ศิลปาชีพทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพนกาฬสินธุ์ จำกัด เป็นสหกรณ์ฯ ที่สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามวิถีแห่งหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งศูนย์ฯ ดังกล่าว เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมของคนผู้ไทย การสาธิตการผลิตผ้าไหมแพรวา และเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และศูนย์จำหน่ายสินค้าโดยเฉพาะผ้าไหมแพรวา ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีแห่งไหม